ประวัติพระสีวลี
ถ้าพูดถึงพระสีวลีเถระก็ต้องพูดถึงเรื่องลาภสักการะ เพราะว่าพระองค์เป็นผู้ที่มีลาภสักการะมาไม่ขาด ไม่ว่าจะไปที่ไหน หรือว่าเป็นที่แร้นแค้นมากแค่ไหนหากว่าพระสีวลีไปที่นั่น ท่านก็จะได้ของใส่บาตรอยู่เสมอ
เรื่องราวของพระสีวลีเถระเริ่มต้องที่เมืองโกลิยะ ซึ่งพระมารดาของพระสีวลีก็คือ พระนางสุปปวาสา เป็นพระธิดาของเจ้าเมืองโกลิยะนั่นเอง
พระสีวลีนั้นเมื่อคราวได้เกิดมาปฏิสนธิในครรภ์ของมารดารนั้นก็ได้ให้คุณมารดาอเนกอนันต์ กล่าวคือ เป็นผู้ที่ทำให้มารดาได้ลาภหลายอย่าง โดยตั้งแต่ครรภ์พระสีวลีนั้นพระนางสุปปวาสาก็ได้เครื่องบรรณาการ ๕๐๐ ทุกเช้าเย็น และไม่ว่าท่านจะไปที่ไหนหรือว่าจับต้องอะไร ก็กลายเป็นลาภ มีของไหลมาเทมาไม่หมด จับข้าวก็มีข้าวออกมามากมาย หากว่าจับหม้อแกง ก็มีแกงตักเลี้ยงไม่ได้ขาด
ข่าวเรื่องของพระนางสุปปวาสาได้กระจายออกไปก็มีผู้คนเดินทางมาเพื่อให้พระนางสุปปวาสาช่วยทำให้ทำนาได้ผลดี ส่วนหนึ่งนั้นก็ต้องการจะทดสอบดูว่าสิ่งที่เขาร่ำลือกันนั้นเป็นจริงหรือไม่ซึ่งหากว่าเป็นจริงก็จะเป็นผลดีแก่เทือกสวนไร่นา ที่ตอนนั้นกำลังได้รับความทุกข์ร้อนอย่างหนัก เนื่องจากว่าดินเริ่มเสีย ฝนก็ตกน้อย ไม่ตกต้องตามฤดูกาลนั่นเอง
ชาวนาหลายต่อหลายคนในเมืองนั้นได้เดินทางมาที่วังของพระนางสุปปวาสาเพื่อขอความช่วยเหลือให้พระนางนั้นไปจับข้าวในยุ้งฉางและหม้อข้าวที่ใส่ข้าวเพื่อความเป็นสิริมงคลและนำพาโชคลาภต่าง ๆ มาให้นั่นเอง
การเดินทางของชาวนานั้นสร้างความประหลาดใจให้กับทหารยามและพระนางเป็นอย่างมากแต่พระนางก็ยอมให้ชาวนาเหล่านั้นเข้าเฝ้าเพื่อขอร้องให้พระนางสุปปวาสาไปช่วยเหลือให้พ้นจากภัยครั้งนี้
“ปีนี้เทือกสวยไร้นาเสียหาย ข้าวก็ปลูกไม่ดี ดีไม่ดีเราอาจจะอดตายกัน พวกข้าพเจ้าได้ยินชื่อเสียงของความให้โชคลาภของพระนางไม่ว่าจะทรงหยิบหรือจับอะไรนั้นก็ล้วนแต่เป็นผลบริบูรณ์ไปหมด” ตัวแทนชาวนากล่าว
“หากว่าพวกท่านเห็นว่าเราสามารถเป็นประโยชน์ได้ เอาเถอะเราจะไป แต่เราขอกล่าวก่อนว่าคนที่มีบารมีนั้นหาเป็นตัวเราไม่ หากแต่เป็นบุตรของเราที่อยู่ในครรภ์ที่ให้จตุปัจจัยลาภต่าง ๆ” พระนางสุปปวาสากล่าวตอบ
เมื่อได้ยินคำกล่าวของพระนางสุปปวาสา ทุกคนก็ยินดีกันใหญ่ชาวนาเหล่านั้นจึงได้นำเอาเมล็ดพันธ์มาให้พระนางฯ จับซึ่งพระนางฯ นั้นก็จับเมล็ดพืชผลนั้นแต่โดยดี และอธิษฐานให้ลาภผลที่บังเกิดแก่พระนางฯ นั้น เผื่อแผ่ไปให้กับผู้คนเหล่านั้นด้วยเถิด
หลังจากกาลเวลาผ่านไปแล้วเมล็ดพันธุ์ที่พระนางฯ ได้จับนั้นก็ออกผลผลิตออกมาจากรวงข้าวเป็นอย่างดี และน่าประหลาดเหลือเกินที่เมล็ดเหล่านั้นให้ผลผลิตมากมายกว่าปกติ ทั้ง ๆ ที่เป็นเม็ดเดิมที่เคยปลูกกันอยู่เป็นประจำ
ด้วยสาเหตุนั้นความมีโชคลาภอันเกิดจากบุตรที่อยู่ในครรภ์ของพระนางฯ นั้น ก็ยิ่งมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ
พระนางสุปปวาสารทรงครรภ์ถึง ๗ ปี ๗ เดือน แล้วพระนางฯ ก็เกิดอาการเจ็บท้องคล้ายจะคลอด แต่เด็กก็ไม่ยอมออกมาเสียที ทำให้พระนางฯ ต้องเจ็บท้องทนทุกข์ทรมานอยู่ประมาณ ๗ วัน พระนางสุปปวาสาทรงขอให้พระสวามีเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังคำสอนและนำเอามาพูดให้พระนางฟังเมื่อพระสวามีมาถึงพระนางฯ ก็ทรงคลอดออกมาได้อย่างสบายราวกับเป็นการเทน้ำออกจากกระบอกอย่างไรอย่างนั้น หลังจากนั้นพระนางฯ ก็จัดอาหารถวายพระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน ในวันสุดท้ายของการถวายทาน พระสีวลีก็ได้ช่วยพระมารดาถวายทานอยู่อย่างขะมักเขม้นและในขณะนั้นเองพระสารีบุตรก็ได้มีโอกาสสนทนากับพระสีวลีบุตร เมื่อพูดคุยกันอยู่ชั่วครู่พระสีวลีก็ขออนุญาตพระมารดาเพื่อบรรพชา โดยการบรรพชาครั้งนี้ก็สร้างความปลาบปลื้มยินดีแก่พระนางสุปปวาสาเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยรู้ว่าการบวชนั้นเป็นมหาบุญอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้หากว่าพระสีวลีบุตรนั้นเข้าใจธรรมจากท่องแท้แล้วไซร้ก็จะสามารถสำเร็จมรรคผลและพ้นจากวัฏสงสารได้ตลอดกาล
เมื่อถึงเวลาบรรพชานั้น แน่นอนว่าจะต้องมีพิธีปลงผมของสีวลีบุตร แต่เมื่อจรดมีดโกนแล้วโกนครั้งแรกนั้น พระสีวลีที่กำลังพิจารณาเรื่องความทุกข์เมื่ออยู่ในพระครรภ์มารดาถึง ๗ ปี ๗ เดือน วันนั้นก็สำเร็จโสดาปัตติผล และเมื่อจรดมีดโกนผมออกเป็นครั้งที่สองนั้นสีวลีบุตรก็สำเร็จมรรคผลได้สกทาคามีผล ครั้งที่สามสำเร็จอนาคามีผล และเมื่อปลงผมเสร็จสีวลีบุตรก็สำเร็จอรหันตผลนั่นเอง
หลังจากที่พระสีวลีนั่นได้บรรพชาอยู่ในเพศบรรพชิตแล้ว ก็มีเรื่องราวมากมายให้เป็นที่กล่าวขานตามมา นั่นก็คือ เป็นผู้ที่มีลาภมาก กล่าวคือ เวลาไปที่ไหนแล้วก็จะมีผู้นำเข้าปลาอาหารอย่างดีมาทำบุญไม่สร่างซา แม้แต่ในที่ทุรกันดารหากว่าพระสีวลีเดินทางไปเยือนก็จะมีผู้เข้ามาทำบุญ ถวายข้าวปลาอาหารและสิ่งต่าง ๆ อยู่อย่างเนืองแน่น
แต่ก็ใช่ว่าข้าวของเครื่องใช้ อาหารต่าง ๆ นี้จะได้เฉพาะพระสีวลี เพราะหากว่าในยามนั้นพระสีวลีนั้นอยู่กับผู้ใด พระภิกษุรูปนั้นก็จะได้อานิสงส์ไปด้วยเช่นนั้นและนี่ก็เป็นที่มาของเอตทัคคะในด้านของผู้มีลาภนั่นเอง